โลกในปี 2568 กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความผันผวน ทั้งในมิติการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจมหภาค และความตึงเครียดทางการค้า หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ “สงครามภาษี” ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อภาคธุรกิจและการลงทุนเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ที่สะท้อนมาถึงราคาทองคำในตลาดโลกและไทยโดยตรง
สงครามภาษีระหว่างประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน หรือประเทศในกลุ่มยุโรป มีแนวโน้มกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เนื่องจากแต่ละประเทศต้องการปกป้องอุตสาหกรรมภายใน และกระตุ้นการบริโภคในประเทศ การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้บ่อยครั้ง ซึ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกคือความไม่แน่นอนของการค้าและความเชื่อมั่นในระบบการเงินระหว่างประเทศ
ในภาวะเช่นนี้ นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่มหันไปหาสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติ “ปลอดภัย” เพื่อป้องกันความเสี่ยง และทองคำคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ทองคำไม่เพียงแต่เป็นตัวเก็บมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มั่นคงในระยะยาว แต่ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความผันผวนของค่าเงิน เงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปี 2568 จึงอาจกลายเป็นปีที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีในระดับโลก นอกจากนี้ หากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยหรืออัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเพื่อลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้ก็จะยิ่งเป็นแรงเสริมให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
อีกหนึ่งปัจจัยที่ควรจับตาคือ “ค่าเงินบาท” เพราะเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อราคาทองในประเทศไทย หากค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองในประเทศก็จะปรับตัวสูงขึ้น แม้ในช่วงที่ราคาทองโลกทรงตัว
ขณะที่นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างออกมาคาดการณ์ตรงกันว่า ราคาทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อาจมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 2,200 ถึง 2,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูงสุดใหม่ของรอบหลายปี ส่วนในประเทศไทย ราคาทองแท่งอาจไต่ระดับแตะหลัก 40,000 บาทต่อบาททองคำได้ หากปัจจัยทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางที่กล่าวมา
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวน แม้จะเป็นที่นิยมในฐานะแหล่งพักเงินในภาวะวิกฤต แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว นักลงทุนก็อาจปรับพอร์ตกลับไปสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นหรือคริปโตได้เช่นกัน จึงควรติดตามข่าวสารการเงิน การเมือง และทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด
ผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อทองในช่วงนี้อาจต้องประเมินความเสี่ยงและวัตถุประสงค์การลงทุนให้ชัดเจน หากมองทองคำในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงและถือครองในระยะยาว การเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสมยังถือว่ามีความคุ้มค่าอยู่มาก
บทสรุปแนวโน้มราคาทองปี 2568 เมื่อความขัดแย้งด้านภาษีเป็นปัจจัยชี้นำ
ในโลกที่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจถูกท้าทายจากสงครามภาษีและความขัดแย้งทางการค้า ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2568 โดยมีปัจจัยหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายระหว่างประเทศ การอ่อนค่าของเงินบาท และความต้องการสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย ดังนั้น ทองคำยังคงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรจับตาสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว